วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ข้อมูล Predator LZ TRX FG

Predator® Lethal Zones II เจเนอเรชั่นล่าสุดของรองเท้าฟุตบอลสายคอนโทรลจากอาดิดาส ที่ถูกเปิดตัว
ทำตลาดในปี 2013  แม้จะไม่ได้ถูกเปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการอะไรนัก  แต่ด้วยชื่อชั้นของรองเท้าฟุตบอลตระกูลนี้
ก็เพียงพอที่จะทำให้ได้รับความสนใจจากบรรดานักฟุตบอลทุกระดับ  ที่มีคำถามคล้ายๆ กันว่า รองเท้ารุ่นนี้
แตกต่างจากรุ่นเก่า(เจเนอเรชั่นที่แล้ว)อย่างไร !?  วันนี้ SiamBoots จะมาไขคำตอบด้วยบททดสอบตามแบบ
ฉบับของเรา  มาวิเคราะห์กันถึงข้อดีข้อด้อยและการเปลี่ยนแปลงของ Predator® Lethal Zones II แบบตรงไป
ตรงมา เช่นเดิม 



   นานพอสมควรแล้วที่ผมได้รับอาดิดาส Predator® Lethal Zones II สีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นสีเปิดตัวคู่นี้มาไว้ใน
ครอบครอง  จนกระทั่งทำบทความ "Hand On!" ให้ทุกท่านได้อ่านเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปนานแล้ว  แต่ด้วยเหตุผล
สำคัญหลายๆ อย่าง  ที่ทำให้บทความ "Boots Testing!" ที่จะมาทดสอบการใช้งานจริงของรองเท้ารุ่นนี้  ต้องถูก
เลื่อนออกมานานขนาดนี้  จนกระทั่งสีใหม่ๆ ออกมาทำตลาดกันเกลื่อนกลาดไปหมดแล้ว  ครั้นจะมอบรองเท้าให้
ทีมงานของเว็บ ที่สวมใส่ไซด์เดียวกัน ไปใส่ทดสอบ ถ่ายภาพ และมาเขียนบทความแทนผม  ก็เกรงว่ามาตรฐาน
การวิเคราะห์วิจารณ์อาจจะแตกต่างกัน  ยิ่งต้องมาวิจารณ์กันตรงๆ เปรียบเทียบกับรองเท้ารุ่นอื่นๆ ทั้งค่ายเดียวกัน
หรือข้ามค่าย  ก็อาจจะเกิดความแตกต่างกัน  ดังนั้นจึงขอรีวิวทดสอบการใช้งานด้วยตัวเองดีกว่า  จะได้เป็นมาตรฐาน
ระดับเดียวกันกับบทความที่ผ่านมา


สำหรับ อาดิดาส Predator® Lethal Zones II นั้นถือว่าได้ก้าวข้ามจากรองเท้าฟุตบอลประเภทพละกำลัง
มาเป็นประเภทคอนโทรลอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่เจเนอเรชั่นที่แล้ว  อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าเจเนอเรชั่นใหม่ที่เห็นอยู่นี้
องค์ประกอบและลูกเล่นโดยภาพรวม  มันดูเหมือนว่าอาดิดาสได้พยายามเอาลูกเล่นเก่าที่มีอยู่ มาปรับปรุงใหม่
แต่งหน้าทาปากใหม่  ก่อนที่จะเริ่มวางขายแบบเงียบๆ ไม่ได้มีงานเปิดตัวยิ่งใหญ่อลังการ  ไม่มีแม้กระทั่งข่าว
PR อย่างเป็นทางการจากอาดิดาส  ไม่เห็นแม้กระทั่งกราฟฟิกภาพโปรโมทของพรีเซนเตอร์หลัก !! ทุกสิ่งทุกอย่าง
ช่างแตกต่างกับรองเท้าสายพันธุ์ใหม่ป้ายแดงอย่าง Nitrocharge ราวฟ้ากับดิน  สาเหตุที่เป็นเช่นนี้  คงเดาได้ไม่ยาก
นั่นก็คืออาดิดาสต้องการเน้นโปรโมทรองเท้าซีรี่ย์ใหม่ของตัวเองมากกว่า  ในเมื่อตัวรองเท้ามีกำหนดวางตลาด
เฉียบกัน จนแทบจะเป็นวันเดียวกันซะขนาดนั้น  อาดิดาสจึงใจแข็งเน้นโปรโมท Nitrocharge อย่างเดียวเลย




   งานนี้แม้ว่า Predator® Lethal Zones II อาจจะมีน้อยใจ ทั้งๆ ที่เป็นรองเท้าฟุตบอลระดับตำนานที่ทำเงิน
ให้กับอาดิดาสเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด  แต่ก็ดูเหมือนว่าอาดิดาสจะตัดสินใจถูกที่ทำเช่นนี้  ด้วยชื่อชั้นของ
รองเท้าสายพันธุ์นักล่าที่วันนี้เปลี่ยนตัวมาเป็นคอนโทรล มันก็มากเพียงพอที่จะเรียกให้บรรดานักเตะทั้งหลาย
ให้ความสนใจ  โดยไม่ต้องทำการโปรโมทอะไรมากมายนัก  

   โดยส่วนตัวแล้วผมเองมีโอกาสได้คุยกับ คุณจ็อบ  วรวรรธน์ เตชะมนตรีกุล ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาดของ 
บริษัท อาดิดาส (ประเทศไทย) จำกัด
 ผู้ที่สนับสนุน รองเท้าฟุตบอลอาดิดาส Predator® Lethal Zones II มา
ให้ผมได้รีวิวทดสอบการใช้งาน  เกี่ยวกับรองเท้าฟุตบอลรุ่นนี้ไม่มากนัก  เลยไม่มีอะไรมาเมาส์ให้คุยผู้อ่านทุกท่าน
ได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม  เอาเป็นว่าหน้าที่ของผมต่อจากนี้คือ  จะไปสวมใส่รองเท้า 5 โซนอันตรายคู่นี้
ลงสนามทดสอบการใช้งาน  พร้อมทั้งวิเคราะห์วิจารย์ถึงข้อดีข้อด้อย  แบบตรงไปตรงมา ดีก็ว่าดี  ไม่ดีก็ว่าไม่ดี
ติเพื่อให้ทางผู้ผลิตเอาไปปรับปรุงแก้ไข  ซึ่งเป็นสิ่งสิ่งที่อาดิดาสเปิดโอกาสให้ผมทำมาโดยตลอด  ไม่มีการ
โทรมาขอให้เอาข้อความนู้นออก  ให้แต่งข้อความนี้ใหม่หรือให้เชียร์จุดแข็งตรงนี้  แม้แต่ครั้งเดียว  เพียงเพื่อ
ต้องการให้เป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจเลือกซื้อรองเท้าฟุตบอลของคุณผู้อ่าน  ว่ารองเท้ารุ่นนี้ตรงตามความ
ต้องการของท่านหรือไม่  แล้วเราจะได้มาเล่นฟุตบอลให้สนุกด้วยรองเท้าฟุตบอลที่เหมาะสมกับตัวเอง ไปด้วยกัน...





แนวคิดการพัฒนารองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้  คือการเอาวัสดุอะไรสักอย่างที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการ
ควบคุมลูกฟุตบอลให้กับตัวรองเท้า  โดยคนที่เป็นเจ้าพ่อที่คิดค้นรองเท้าซีรี่ย์นี้ขึ้นมาก็คือ "Craig Johnston"
ที่ ณ เวลานั้น ค้าแข้งอยู่กับทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล  เขาได้คิดเอาวัสดุประเภท "แถบยาง" ที่มีผิวพื้นไม่เรียบ
มีมิติสูงต่ำสลับฟันปลามาติดเอาไว้บนหลังเท้าเต็มไปหมด  ถือเป็นสิ่งที่แปลกใหม่มากของวงการรองเท้าฟุตบอล
ในยุดปี 1993-1994  จึงทำให้รองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์นี้เป็นที่รู้จักของบรรดานักฟุตบอลทั่วโลกในระยะเวลาอันสั้น
จนถูกสวมใส่ลงสนามโดยนักฟุตบอลจำนวนมากจนเป็นเรื่องปกติไปเลย

   จากแนวคิดดังกล่าว  จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้ว อาดิดาส Predator® ถูกออกแบบมาในฐานะรองเท้าฟุตบอล
ประเภท "คอนโทรล" มาตั้งแต่แรก  เพียงแต่ในตอนนั้นยังไม่มีใครนิยามประเภทของรองเท้าฟุตบอลเอาไว้
อย่างชัดเจนแต่อย่างใด  เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป  ถือเป็นเรื่องปกติที่รองเท้าซีรี่ย์นี้จะได้รับการพัฒนาปรับปรุง
และออกเจเนอเรชั่นใหม่มาเรื่อยๆ  ในช่วงแรกๆ นั้น การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยังเป็นไปในรูปแบบปรับนู่นนิด
ปรับนี่หน่อยเสียมากกว่า  แถมยังออกเฉดสีรองเท้าเฉพาะ "ดำ-ขาว-แดง" เพียงอย่างเดียว  จนทำให้เฉดสีดังกล่าว
ถูกแต่งตั้งให้เป็น "สีต้นตำรับ" ของรองเท้าซีรี่ย์นี้ไปในที่สุด


แต่แล้วการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมตัวตนของรองเท้าฟุตบอลตระกูล Predator® ไปอย่างสิ้นเชิง  ก็คือ
การมาถึงของเจเนอเรชั่นที่ 12 อย่างเป็นทางการ  ในชื่อว่า Predator® Lethal Zones  ที่ถูกเปิดตัวราวๆ 
กลางปี 2012 พอดิบพอดี



   ราชานักล่าโฉมนี้ได้ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย  ประเด็นที่สำคัญที่สุดคงจะหนีไม่พ้น การยกเลิกการใช้
หนังสัตว์แท้ๆ  ไม่ว่าจะเป็นหนังจิงโจ้ หนังวัวกระทิง หรือหนังลูกวัว ออกไปจากสายการผลิตของรองเท้า ไม่ว่า
จะเป็นรุ่นใด ระดับไหน ราคาเท่าไหร่ก็ตาม  โดยแทนที่ด้วยการเปลี่ยนมาใช้เป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แบบใหม่
ที่อาดิดาสคิดค้นขึ้นมา ในชื่อว่า "Hybrid Touch"  มาใช้กับรองเท้าระดับท็อปคลาส

   ส่วนชื่อ Lethal Zones นั้นได้ถูกตั้งมาเพื่อให้สอดคล้องกับจุดขายสำคัญ นั่นก็คือ "แถบยางควบคุมและปั่นไซร์"
ที่ติดอยู่บนหน้าสัมผัสของรองเท้าแทบจะทุกด้าน  ภายใต้แนวคิด "โซนอันตราย" ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 5 โซนสำคัญ
ได้แก่ การยิงปั่นไซร์ การยิงหลังเท้า การแปส่งบอล การจับบอลแรก และการเลี้ยงบอล

   ดังนั้น..อาดิดาส Predator® Lethal Zones จึงสามารถถูกนิยามอย่างเต็มภาคภูมิว่า เป็นรองเท้าฟุตบอลประเภท
"คอนโทรล" อย่างเต็มรูปแบบ  และการมาของเจเนอเรชั่นนี้  ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของรองเท้าตระกูลนักล่า
ยุคใหม่  ที่ได้ลบภาพของการเป็นรองเท้านักล่าที่ดุดันทรงพลังน้ำหนักเยอะ  ไปจนแทบจะหมดสิ้น


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.siamboots.com/boots-testing-adidas-predator-lz2.html

ข้อมูล Nike Hypervenom Phantom III DF


Hypervenom Phantom III DF รองเท้าฟุตบอลสายพันธุ์จู่โจมรุ่นใหม่ล่าสุดที่กำลังได้รับ
ความสนใจจากนักฟุตบอลทั่วโลกในตอนนี้  เพื่อจะหาคำตอบว่ารองเท้ารุ่นนี้สุดยอดแค่ไหน  มีข้อดี
ข้อด้อยอย่างไร  แล้วจะตอบโจทย์ต่อรูปแบบการเล่นประเภทไหนบ้าง  ในวันนี้ SiamBoots จะขอ
พาทุกท่านไปร่วมหาคำตอบทั้งหมด  จัดกันไปแบบเต็มๆ ตรงๆ เช่นเคย


 เรียกได้ว่าเป็นกระแสตอบรับที่ดีมากจนเกินความคาดหมาย สำหรับ Hypervenom III 
รองเท้าฟุตบอลเจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดที่ไนกี้เปิดตัวตั้งแต่ต้นปี 2017 โดยมีรองเท้ารุ่นท็อปสุด
ในชื่อ Hypervenom Phantom III DF เป็นพระเอก  เพราะหากย้อนไปในช่วงที่มีภาพ
หลุดออกมาให้เห็นกันในโลกโซเชี่ยล  นั้นค่อนข้างจะเป็นไปในด้านลบหรือมีคำถามมากมายที่
คาข้องในใจของหลายๆ คน


แต่ ณ ตอนนี้คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารองเท้า Hypervenom Phantom III DF ได้เข้ามา
เขย่าวงการรองเท้าฟุตบอลอย่างแท้จริง  เพราะนับตั้งแต่ที่รองเท้ารุ่นนี้ถูกปล่อยลงสู่สนามฟุตบอล
ทั่วทุกมุมโลก..เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม 2017 ณ ประเทศเยอรมันนี  ทุกสายตาก็ได้จับจ้อง
มาที่รองเท้ารุ่นนี้อย่างเต็มที่  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากรองเท้ารุ่นโปรโมทนั้นก็คือ..การพัฒนา แนวคิด
และการออกแบบ  ซึ่งฉีกตัวตนและภาพลักษณ์เดิมๆ ของเจเนอเรชั่นเก่าออกไปจนแทบจะไม่เหลือ
เคล้าโคลงเดิมให้ได้รู้สึกเลย  จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าทีมออกแบบของไนกี้นั้นไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนา
รองเท้าฟุตบอล  ให้ออกมาโลดแล่นในกระแสได้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดผ้าคลุม


เรามาเริ่มกันที่ขั้นตอนการสวมใส่ในครั้งแรก จากที่ผ่านๆ มาพบว่ารองเท้าที่มีหุ้มข้อนั้นจะสร้างความ
ยุ่งยากในการสวมใส่เป็นอย่างมาก  แต่สำหรับ Hypervenom Phantom III DF นั้นพบว่าหุ้มส้น
ของรองเท้าคู่นี้ซึ่งมีระดับไม่เท่ากัน  ช่วยทำให้การสวมใส่ในครั้งแรกนั้นง่ายดายขึ้น  เมื่อเปรียบเทียบกับ
หุ้มส้นของรองเท้ารุ่นเก่าที่มีระดับเท่ากันทั้งหมด  เนื่องจากผมสามารถสอดเท้าด้านไปได้โดยใช้หุ้มส้น
ฝั่งข้อเท้าด้านในซึ่งมีระดับสูงกว่า  เป็นตัวช่วยในการประคองไม่ให้เท้าเราเหยียบที่ขอบหุ้มส้น  แลเพื่อ
พอที่จะสวดปลายเท้าเข้าไปได้แล้ว  ส่วนหุ้มส้นส่วนเดิมที่สูงกว่า  จะสามารถใช้เป็นจุดดึงเพื่อให้ส้นเท้า
ถูกสอดตามเข้าไปได้ง่ายขึ้นนั่นเอง 





Hypervenom Phantom III DF ก่อนที่จะไปลงสนาม
ทดสอบการใช้งานกัน  ต้องบอกว่า "เลือกตรงไซส์" ได้เลยครับ ไม่ต้องห่วงว่ารูปเท้าของท่านจะเป็น
ลักษณะใด  โดยเฉพาะใครที่เคยใช้งาน Hypervenom Phantom II มาก่อน สามารถเลือกไซส์
เหมือนเดิมได้เลย  พอมาใส่รุ่นใหม่คู่นี้จะรู้สึกสบายเท้าขึ้นมาอีกหน่อย


  แต่อยากให้ระวังสำหรับคนที่เคยใส่ Mercurial SuperFly V แบบตรงไซส์และรู้สึกอึดอัดเนื่องจาก
รูปเท้าของท่านมีลักษณะกว้าง จนอาจต้องเพิ่มไซส์ในตอนนั้น  ถ้าจะเปลี่ยนมาลองรองเท้ารุ่นนี้  ทางทีดี
อยากให้ลองไซส์ด้วยตัวเองอีกทีน่าจะดีกว่าครับ  ว่าท่านจะสามารถกลับมาใส่ Hypervenom
Phantom III DF
 แบบตรงไซส์ได้ไหม

  ส่วนรองเท้ารุ่นอื่นๆ ที่ผมเพิ่งจะรีวิวไปก่อนหน้านี้  เช่น ไนกี้ Magista Obra II และอาดิดาส 
ACE 16.1 ทั้งแบบหนังสังเคระห์และแบบหนังแท้  ใครมีรองเท้าทั้ง 2 รุ่นข้างต้น  ก็สามารถมาเลือก
ใช้งาน Hypervenom Phantom III DF ไซส์เดียวกันได้เลยเหมือนกัน 


ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก http://www.siamboots.com/review-footballboots-Nike-Hypervenom-Phantom-3-DF.html

ข้อมูล Adidas Adizero F50 2015


รองเท้าสตั๊ด ADIDAS (อาดิดาส) สายเบาสปีดจัดจ้านกับ Adidas F50 Adizero 2015 ที่หลายๆคนตั้งหน้าตั้งตารอได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วซึ่งโฉมนี้เป็น F50 adiZero รุ่นที่ 5 พร้อมกับเป็นรุ่นนำทัพรองเท้าสตั๊ดภายใต้แคมเปญ “There will be Haters”คอลเลคชั่นล่าสุดของ ADIDAS (อาดิดาส) ในปีนี้อีกด้วย

Adidas F50 Adizero 2015 คือแบบฉบับการปรับปรุงใหม่ของซีรี่ย์นี้ซึ่งตัวลวดลายที่เฉดอยู่บนรองเท้า จะถูกปรับเปลี่ยออกไป เช่น original adidas stripes นั้นได้เปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่บนลิ้นรองเท้า ลากยาวผ่านส้นเท้าไปจนถึงส่วนส้นและพื้นรองเท้าด้านหลัง แทนที่จะเป็นด้านข้างของรองเท้าเหมือนรุ่นก่อนๆ
Adidas F50 Adizero 2015 โดดเด่นด้วยลวดลาย Ghost Graphic สีดำคล้ายเงาของวิญญาณ(เมื่อนำรองสองข้างมาวางชิดกันจะเป็นกราฟฟิคคล้ายหัวกระโหลก) ตัดกันกับสีแดงของอัพเปอร์ที่มีลักษณะคล้ายเกล็ดบนหนังของพวกสัตว์เลื้อยคลาน ทำให้รองเท้าสตั๊ดคู่นี้ดูสะดุดตาเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ในสนามแข่ง
อัพเปอร์ของรองเท้าคู่นี้เป็นหนังสังเคราะห์ Hybridtouch แบบชิ้นเดียวไม่มี SpeedFoil เหมือนกับรุ่นที่แล้ว มีเทคโนโลยี 3D DribbleTex ในลักษณะของลายเกล็ดบนหนังของสัตว์เลื้อยคลานทั่วทั้งตัวรองเท้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงเสียดทานในการสัมผัสบอลทำให้ First Touch ของคุณเนียนและนุ่มขึ้น ทั้งในสภาพสนามที่แห้งและเปียก

และส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดเห็นจะเป็นส่วนของพื้นรองเท้าถึงแม้จะเพิ่งเปลี่ยนไปในรุ่นที่แล้ว แต่มาในปี 2015 Adidas F50 Adizero จัดให้อีกรอบเพื่อประสิทธิภาพของนักเตะ ผู้พัฒนาเลือกใช้ปุ่มหลังเพียง 3 ปุ่มเท่านั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจิกเกาะพื้นสนาม เช่นเดียวกันกับส่วนหน้ากลางฝ่าเท้า ที่มีปุ่มใบมีดในลักษณะคล้ายเขี้ยวเล็กๆจำนวนมาก ที่จะช่วยให้ส่วนหน้าจิกพื้นสนามได้ดียิ่งขึ้นพร้อมกับช่วยในการสปริ้นออกตัวที่รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ปุ่มรองเท้าสตั๊ด Adidas F50 Adizero 2015 ยังถูกออกแบบให้สั้นลงอีกเพื่อรองรับให้สามารถเล่นได้ทั้งหญ้าจริงและหญ้าเทียมนั้นเอง


สรุปสุดท้าย Adidas F50 Adizero 2015 หากวัดกันที่ Performance กับ  Adidas F50 Adizero รุ่นที่แล้ว Adidas F50 Adizero 2015 เป็นรองเพียงเรื่องน้ำหนักเท่านั้นเอง ซึ่งตอนนี้หากใครคิดจะเปลี่ยนรองเท้าสตั๊ดหรืออยากได้รองเท้าสตั๊ดคุณภาพดีๆแนะนำเลยกับ Adidas F50 Adizero 2015 หาซื้อได้แล้วที่ช็อป ADIDAS (อาดิดาส) ทุกสาขาที่สนราคา 7,690 บาท
ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก https://sport.mthai.com/pr-news/224646.html

ข้อมูล Nike Magista


Magista

   คำว่า Magista เป็นคำจากภาษาสแปนิช (สเปน) ที่มีความหมายว่า "หมอผี"  แต่ถ้าจะให้นิยามความหมาย
ดังกล่าว ให้เป็นภาษาไทยที่สวยหรูกว่านั้น ทางไนกี้ได้นิยามเอาไว้ว่า "ผู้ร่ายเวทมนต์แห่งสนามฟุตบอล"
โดยรองเท้าซีรี่ย์นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอาวุธในการสร้างสรรค์เกมสำหรับนักเตะกองกลาง  ผู้ที่คอยบัญชา
เกมรุกให้กับทีม  ซึ่งรองเท้าซีรี่ย์นี้จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถแสดงศักยภาพในการควบคุมทุกอย่างได้ดั่งใจ
เสมือนเขากำลังร่ายเวทมนต์เข้าใส่คู่แข่งนั่นเอง



   
   แม้ว่าการโปรโมทหรือการนำเสนอทั้งหมดที่ผ่านมา  ไนกี้จะเน้นไปที่รองเท้าระดับโครตท็อป  ที่จะทำตลาด
ในระดับสูงสุด  ในชื่อรุ่นว่า Magista Obra ด้วยการเอาเทคโนโลยีฟลายนิต หรือเส้นด้าย มาถักทอเป็นรองเท้า
ทั้งข้าง  และมีส่วนหุ้มข้อสูงขึ้นมา  ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่ในวงการรองเท้าฟุตบอล  พร้อมนำเสนอออกมา
ภายใต้นิยามสั้นๆ ว่า "Create Attack" โดยมีมัสคอตประจำซี่รี่ยเป็น "แมงมุม" เพื่อสื่อถึงรองเท้ารุ่น Magista
Obra
 ที่นำเอาเทคโนโลยีวัสดุฟลายนิต มาถักทอเป็นตัวรองเท้านั่นเอง 

   แต่ในความเป็นจริง..ตลาดระดับท็อปปกติซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่ใหญ่ที่สุดระดับนึง  และเป็นที่จับตามอง
ของเหล่านักฟุตบอลทั้งหมด  ถือว่าเป็นระดับที่ถูกจำตามองมากที่สุดเลยก็ว่าได้  เพราะหลายคนยังคง
อินกับประสิทธิภาพการใช้งานของรองเท้ารุ่น CTR 360 Maestri เป็นอย่างมาก   แต่เมื่อไนกี้มายุติซีรี่ย์
ดังกล่าว  พร้อมทั้งออกซีรี่ย์ Magista มาแทนที่  จึงไม่แปลกที่นักฟุตบอลหลายๆ คน ซึ่งเคยมีประสบการณ์
ที่ยอดเยี่ยมกับ CTR 360 Maestri จะยิ่งคาดหวังว่ารองเท้าซีรี่ย์ใหม่ป้ายแดง จะต้องดี และมีความแตกต่าง
มากขึ้นกว่าเก่า  ซึ่งรองเท้าระดับนี้มีชื่อรุ่นว่า Magista Opus เป็นพระเอกในการทำตลาด

   ในบทความนี้  จะเป็นคิวรีวิวทดสอบการใช้งาน  เพื่อวิเคราะห์และวิจารณ์ถึงประสิทธิภาพของรองเท้า
ฟุตบอลระดับท็อปคลาส ไนกี้ Magista Opus ที่หลายคนเรียกว่าเป็นทายาทของ CTR 360 Maestri
ว่าตัวรองเท้าเป็นอย่างไร  มีข้อดีข้อด้อยตรงไหน  จะยอดเยี่ยมขึ้นหรือจะแย่ลงกว่าเดิม  เพื่อเอาคำตอบ
มาเป็นประโยชน์ทางข้อมูลให้กับคุณผู้อ่านทุกท่าน  ได้เอาไปใช้ตัดสินใจในการเลือกซื้อเลือกหารองเท้า
ฟุตบอลที่ตรงตามความต้องการของม่านมากที่สุด 

   โดยรองเท้าฟุตบอล 
Magista Opus คู่ที่ได้มารีวิวนี้  ผมได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ มาจากบริษัท ไนกี้ (ประเทศไทย) จำกัด เช่นเดิม

   Details

   
      ไนกี้ ตัดสินใจเปิดตัวรองเท้าฟุตบอลซีรี่ย์ใหม่ ในชื่อ "Magista" ออกมาทำตลาดในฐานะรองเท้าสายพันธุ์
คอนโทรล ที่เน้นการสร้างสรรค์เกมส์เพื่อจู่โจมคู่แข่ง มากขึ้นกว่าที่ซีรี่ย์ "CTR 360" ที่ยุติการทำตลาดลงไป
เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

   คำว่า Magista เป็นคำจากภาษาสแปนิช (สเปน) ที่มีความหมายว่า "หมอผี"  แต่ถ้าจะให้นิยามความหมาย
ดังกล่าว ให้เป็นภาษาไทยที่สวยหรูกว่านั้น ทางไนกี้ได้นิยามเอาไว้ว่า "ผู้ร่ายเวทมนต์แห่งสนามฟุตบอล" 
โดยรองเท้าซีรี่ย์นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอาวุธในการสร้างสรรค์เกมสำหรับนักเตะกองกลาง  ผู้ที่คอยบัญชา
เกมรุกให้กับทีม  ซึ่งรองเท้าซีรี่ย์นี้จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถแสดงศักยภาพในการควบคุมทุกอย่างได้ดั่งใจ
เสมือนเขากำลังร่ายเวทมนต์เข้าใส่คู่แข่งนั่นเอง 

   
   นอกเหนือจากคอนเซปของตัวรองเท้าที่กล่าวไปแล้ว  ไฮไลท์สำคัญที่สุดของ Magista ก็คือการเปิดตัว
รองเท้าระดับโครตท็อป ภายใต้เทคโนโลยี "ฟลายนิต"  ซึ่งเป็นการใช้วัสดุเส้นด้ายมาถักทอเป็นตัวรอง
แบบไร้รอยต่อ  รวมถึงการเพิ่มส่วนที่เป็นหุ้มข้อ  จนสร้างความฮือฮาตั้งแต่วันที่รองเท้าถูกเปิดตัวล่วงหน้า
(เปิดตัวเดือนมีนาคม 2014 แต่วางจำหน่ายเดือนพฤษภาคม 2014)   เพื่อให้รองเท้ามอบประสบการณ์
การสวมใส่ที่เสมือนรองเท้าเป็นอวัยวะชิ้นเดียวกับเท้า  ในแบบที่ไม่เคยมีรองเท้าฟุตบอลรุ่นไหนเคยมี
มาก่อน 

   

    
   ไนกี้ใช้ อันเดรียส อินิเอสต้า เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่ง เป็นพรีเซนเตอร์หมายเลขหนึ่งของซีรี่ย์ Magista  ต่อยอด
มาจากซีรี่ย์ CTR 360 เหมือนเดิม  แต่งานนี้ต้องบอกว่า ไนกี้ทุ่มสุดตัวด้วยการดันนักเตะระดับโลกมากมายหลายคน
ขึ้นมาเป็นพรีเซนเตอร์ในการโปรโมทรองเท้าซีรี่ย์นี้อย่างเต็มตัว  ไม่ว่าจะเป็น ธิอาโก้ ซิลวา, ดาวิด ลุยซ์,
อาร์ด้า ตูราน, มาริโอ เกิทเซ่, โยฮัน กาบาย, คริสเตียน อิริคเซ่น และ แจ๊ค วิลเชียร์ 
 เพื่อเป็นการทำตลาด
สร้างภาพลักษณ์ให้กับรองเท้ารุ่นนี้  ได้เป็นที่รู้จักของแฟนบอลทั่วโลก..ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน เท่านั้น

   เมื่อเรียบเรียงรายชื่อรุ่น/ระดับ ของสมาชิกในซีรี่ย์ Magista  จะประกอบไปด้วย Magista Obra เป็นรองเท้า
ระดับโครตท็อปที่ทำจากวัสดุด้ายถักและมีหุ้มข้อ  ซึ่งเป็นรุ่นไฮไลท์ที่ไนกี้ทุ่มการโปรโมทมาโดยตลอด  และ
มีชื่อรุ่น Magista Opus เป็นรองเท้าระดับท็อปคลาส  ซึ่งยังคงมีเทคโนโลยีหลายอย่างบรรจุมาให้อย่างสม
ฐานะ  ในขณะที่รองเท้าระดับรองท็อป และรองเท้าระดับทั่วไป มีชื่อรุ่นว่า Magista Orden และ Magista Onda 
ตามลำดับ  โดยรองเท้าแต่ละรุ่นแต่ละระดับ จะมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของวัสดุ เทคโนโลยี ลูกเล่นและ
ราคา

  
   ข้อมูลของรองเท้าฟุตบอลรุ่น Magista Opus

   สำหรับคุณผู้อ่านท่านใดที่ยังไม่รู้จักข้อมูลตัวรองเท้า Magista Opus ว่ารองเท้ารุ่นนี้มีเทคโนโลยีหรือ
รายละเอียดตรงจุดใดที่น่าสนใจบ้าง  ผมขอยกเอาเนื้อความจากบทความ "Hand On!" ซึ่งเป็นบทความ
ที่นำเสนอข้อมูลของตัวรองเท้าทุกส่วน อย่าละเอียดยิบ  มาแปะเอาไว้ต่อจากนี้  ส่วนคุณผู้อ่านท่านใด
ที่เคยอ่านบทความดังกล่าวแล้ว  ก็เตรียมตัวสำหรับการลงสนามทดสอบ  ด้วยการเลื่อนข้างไปอ่านยัง
ส่วนหัวข้อ "Feeling & Sizing" เพื่อเลือกไซด์รองเท้าที่เหมาะสม  ได้เลยครับ 
ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก http://www.siamboots.com/boots-testing-nike-magista-opus.html

ข้อมูล Nike Tiempo Legend VI


ไนกี้ ผู้นำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์กีฬาระดับโลกและผลิตภัณฑ์กีฬาฟุตบอล เผยโฉมรองเท้าสตั๊ด "ไนกี้ เทียมโป้ เลเจนด์ 6” ที่มาพร้อมคุณสมบัติที่โดดเด่นในด้านการสัมผัสบอลที่แนบเท้าและการจ่ายบอลที่แม่นยำ
       
       เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่ชื่อของเทียมโป้ (Tiempo) ได้สื่อถึงความหมายของรองเท้าฟุตบอลที่ทำจากหนังสัตว์ระดับพรีเมียม มาวันนี้ “เทียมโป้ เลเจนด์ 6” (Tiempo Legend 6) ได้สานต่อความสำเร็จดังกล่าว ด้วยการพัฒนาให้ตัวรองเท้ามีคุณสมบัติอันก้าวล้ำ เพื่อมอบประสิทธิภาพในการสัมผัสบอลที่เหนือชั้นมากยิ่งขึ้น
       
       วิอานนี เดอ มอนต์โกลฟิเออร์ นักออกแบบผลิตภัณฑ์ของไนกี้ฟุตบอล เผยว่า “นักฟุตบอลที่สวมใส่เทียมโป้ คือนักเตะที่เปิดเกมรุก ฉะนั้นเราจึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องการสัมผัสบอลและความแม่นยำที่พวกเขาจำเป็นต้องมี และถือได้ว่าเป็นความท้าทายของพวกเราอย่างมาก ที่ต้องคิดค้นเพื่อนำวิธีการใหม่ๆ มาพัฒนาร่วมกับวัสดุที่ถูกจารึกไว้ในตำนาน”
       
       อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมองย้อนกลับไปจะพบว่ารองเท้ารุ่นเทียมโป้จะมีหัวรองเท้าเป็นหนังเย็บบุ (Quilting) แต่สำหรับ เทียมโป้ เลเจนด์ 6 ไนกี้ได้ค้นหาวิธีการที่จะมอบสัมผัสแบบเดียวกับการเย็บบุ โดยไม่ต้องทำให้หนังมีรอยรูพรุนจากการเย็บติดเป็นจำนวนมาก ซึ่งรองเท้ารุ่นใหม่นี้จะมีโครงเป็นลายลูกกรงซ้อนเรียงกันอยู่ภายใน และมีการบุซับไว้อย่างเรียบร้อย เพื่อรักษาโครงสร้างของรูปทรง และทำให้แผ่นหนังยกตัวอยู่ได้โดยการเย็บติดกันเพียงเล็กน้อย
       
       “เทียมโป้ เลเจนด์ 6 กับโครงสร้างแบบใหม่จะมอบความรู้สึกแบบเดียวกับการเย็บบุ โดยมีโครงสร้างของโฟมถูกอัดติดเป็นสุญญากาศกับแผ่นหนังเพื่อให้มั่นใจได้ว่า รองเท้าจะมีโครงสร้างที่นุ่มและไร้รอยต่อ และเมื่อขจัดการเย็บบุออกไปได้ เราจึงสามารถลดปัญหาที่โคลนหรือน้ำจะซึมผ่านแนวเย็บบุเข้ามา ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หนังรองเท้าเกิดความแข็งกระด้าง” มอนต์โกลฟิเออร์ กล่าวเพิ่มเติม


       
       สำหรับลิ้นรองเท้า ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่โดดเด่นเฉพาะตัวของรองเท้าตระกูลเทียมโป้ ก็ได้รับการปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน โดยที่ลิ้นรองเท้าของเทียมโป้ เลเจนด์ 6 ยังคงรักษารูปลักษณ์อันสวยงามแบบเดิมไว้ พร้อมกับเน้นการปกป้องเท้า ด้วยการผสานเป็นชิ้นเดียวกันเข้ากับเชือกรองเท้า ขณะที่คุณลักษณะอื่นๆ ได้แก่โครงลายลูกกรงที่ช่วงกลางเท้า ส้นรองเท้าแบบหล่อขึ้นรูป และพื้นรองเท้าด้านใน ล้วนทำมาจากไมโครไฟเบอร์เพื่อช่วยให้เท้ากระชับเข้าที่มากขึ้น นอกจากนี้ผิวด้านล่างของพื้นรองเท้าด้านในยังมีร่องยึดเกาะตรงกับตำแหน่งปุ่มซิลิคอนบนฐานรองเท้า ซึ่งถือเป็นกลไกการยึดเกาะพื้นของเทียมโป้ เลเจนด์ 6 ที่ถ่ายแรงยืดเกาะจากฐานรองเท้าสู่พื้นรองเท้าด้านใน และจากพื้นรองเท้าด้านในสู่ถุงเท้า (Plate-to-sockliner, Sockliner-to-sock Traction System) ขณะที่ขอบข้อเท้าด้านในจะมีความสูงกว่าทางฝั่งด้านนอกเล็กน้อย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักกายวิภาคของข้อเท้า โดยที่รายละเอียดของส่วนนี้จะมีจุดสังเกตเป็นโลโก้ “สวู้ช” เล็กๆ ในขอบข้อเท้าฝั่งข้างเท้าด้านในติดอยู่
       
       ส่วนเบ้าส้นเท้าของเทียมโป้รุ่นนี้ได้รับการออกแบบเพื่อให้โอบกระชับเท้าไว้ด้วยความสบายสูงสุด โดยที่บริเวณด้านหลังของส้นเท้าจะมีอักษร “Tiempo” คาดไว้อย่างเด่นชัด เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของรองเท้าตระกูลนี้ นอกจากนี้ยังมีรูปโลโก้สวู้ชพาดเกือบรอบข้อเท้าแต่ไม่แตะติดกัน ขณะที่หน้ารองเท้าที่ผลิตจากหนังระดับพรีเมียม จะมีจุดสังเกตเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ ณ จุดที่วัสดุหนังมาบรรจบเข้ากับเบ้าส้นเท้า และมีอักษรคำว่า “All Conditions Control (AAC)” ประทับอยู่
       
       “เทียมโป้ เลเจนด์ 6 คืองานคลาสสิคยุคใหม่ และมันคือรองเท้าที่ผสานวัสดุและความงดงามของรองเท้าระดับไอคอนเข้ากับงานฝีมืออันก้าวล้ำของยุคปัจจุบัน” มอนต์โกลฟิเออร์ กล่าวทิ้งท้าย


       
       สำหรับรองเท้าฟุตบอลเทียมโป้ เลเจนด์ 6 จะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 3 ธันวาคม ศกนี้ ที่ร้านอาริ ฟุตบอล คอนเซ็ปต์สโตร์ทุกสาขา และร้านไนกี้ สาขาสยามดิสคัฟเวอรี่

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.manager.co.th/sport/viewnews.aspx?NewsID=9580000128379